Holland & Sherry Crispaire: หนึ่งในผ้า Worsted Wool ที่ “อร่อยที่สุด” สำหรับประเทศแถบร้อน

กางเกง Bespoke Single Pleated ผ้า Holland & Sherry Crispaire โดย The Primary Haus

กางเกง Bespoke Single Pleated ผ้า Holland & Sherry Crispaire โดย The Primary Haus

ต้องสารภาพก่อนครับว่าผมไม่ค่อยกล้าที่จะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับผ้า Wool สักเท่าไหร่ เพราะเรื่องผ้า Wool นี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง Subjective ต่อตัวบุคคลและ Sensitive พอสมควรในหลายๆด้าน ดังนั้นบทความนี้ผมจะเขียนในเชิงที่มาจาก “ประสบการณ์ตรง” ของผมเองล้วนๆ หมายความว่ามันคือความคิดเห็นส่วนตัวของผมทั้งหมดนั่นเอง
สาเหตุที่ผมอยากพูดถึงเรื่องผ้า Crispaire เป็นพิเศษ เพราะผมคิดว่าน่าจะมีประสบการณ์เพียงพอระดับหนึ่งกับผ้าตัวนี้ จากการที่มีกางเกงที่ตัดจากผ้า Holland & Sherry Crispaire มา 3 ตัว เลยอยากจะแชร์เรื่องราวให้กับเพื่อนๆที่กำลังสนใจผ้าตัวนี้อยู่ อาจจะพอช่วยเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการเลือกผ้าได้ครับ
เอ้า มาเริ่มกันเลย!
ต้องขออนุญาตบอกท่านผู้อ่านก่อนครับว่า เวลาผมเลือกผ้า Wool ในการตัดกางเกง แจ็คเก็ต หรือแม้กระทั่งสูท ผมไม่ได้สนใจเลยนะครับว่าผ้าตัวนั้นจะทอมาจากโรงทอที่ไหน ไม่ได้แคร์ว่าผ้าจะต้องติดแบรนด์โรงทอชื่อนู่นนี่นั่น ผมสนใจเพียง 4 ปัจจัยเท่านั้น คือ “ยับยาก” “สีถูกใจ” “เนื้อผ้าอร่อย” และ “ใส่แล้วไม่ร้อน” ไอ่ตรงเนื้อผ้าอร่อยเป็นยังไงเดี๋ยวผมมาขยายความให้อีกรอบนึงนะครับ
กางเกง Ambrosi Napoli ผ้า Holland & Sherry Crispaire สีเทาและสีน้ำตาล

กางเกง Ambrosi Napoli ผ้า Holland & Sherry Crispaire สีเทาและสีน้ำตาล

จุดเริ่มต้นในการสนใจผ้า Holland & Sherry Crispaire ของผมมาจาก "สีและ Texture" ของตัวผ้าที่เตะตามากตั้งแต่เปิดดูรูปหรือเล่มผ้ามาครั้งแรก
ณ ตอนนั้นผมกำลังหากางเกงผ้าสี Solid ที่ “อร่อย” อยู่ ไอ่ผ้าอร่อยเนี่ยในที่นี้สำหรับผมคือ สีต้องไม่เรียบเกินไปและ Texture ของเนื้อผ้าต้องมีลูกเล่นอะไรบางอย่าง ผ้าที่สีเรียบสำหรับผมคือผ้าที่ทอ “เป็นสีเดียวกันทั้งผืนแบบเป็นสี Solid จริงๆ” และ Texture ของเนื้อผ้าที่มีลูกเล่นในที่นี้คือ ต้องไม่เนียนเกินไป หรือทอเห็นแล้วต้องเห็น Texture ผ้าไม่เงามาก (อยู่กลางๆค่อนไปทางด้าน) และมีความกรอบของผ้าหรือความ Dry สักหน่อย
อ่านแล้วเป็นตัวอักษรอย่างเดียวท่านผู้อ่านน่าจะคิดว่ามรึงไปเมาอะไรมา ไปดูรูปกันดีกว่าครับ
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของผ้า Crispaire คือผ้าสี Solid ก็จริง แต่ลองสังเกตดูดีๆนะครับว่าสีมันไม่ได้ “เสมอกัน“ ไปทั้งตัว ทำให้ตัวผ้าดูมีมิติมากขึ้น

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของผ้า Crispaire คือผ้าสี Solid ก็จริง แต่ลองสังเกตดูดีๆนะครับว่าสีมันไม่ได้ “เสมอกัน“ ไปทั้งตัว ทำให้ตัวผ้าดูมีมิติมากขึ้น

จะเห็นว่าในเนื้อผ้า Crispaire หากมองไกลๆมันคือสี Solid ดีๆนี่แหละครับ แต่พอดูใกล้ๆตัวเนื้อผ้ามันไม่ได้มีสีเดียวเรียบๆ แต่มันมี Tone สีอื่นมาผสมเข้าไปอยู่ด้วย พูดง่ายๆคือเหมือนทอผ้าแล้วสีไม่ค่อยจะเสมอกันก็ได้นะครับ อย่างผ้า Crispaire สีเทานี้ มองใกล้ๆมันจะมีความเทาที่ไม่ค่อยเสมอกัน บางจุดเทามาก บางจุดเทาน้อยกว่าหน่อย แต่มองไกลๆในระยะปกติเราจะมองไม่ออก ซึ่งคาแรคเตอร์ของผ้าแบบนี้ผมรู้สึกว่ามันให้ฟีลของความ Organic ทำให้เวลาหยิบไปใส่จริงกับเสื้อเชิ้ตหรือคู่กับ Sport Jacket จะ Matching ได้ง่ายมากขึ้น 
Texture ของผ้า Crispaire ที่เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของผ้า High Twisted ยิ่งเพิ่มสีสันให้กับตัวผ้าเข้าไปอีก

Texture ของผ้า Crispaire ที่เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของผ้า High Twisted ยิ่งเพิ่มสีสันให้กับตัวผ้าเข้าไปอีก

ในส่วนของ Texture ของผ้า เวลามองก็จะพอรู้ได้เลยครับว่าผ้าตัวนี้ไม่ใช่การทอปกติ แต่เห็นเป็น เส้นลายผ้าตามตัวกางเกงจากการ “พันเส้นใยผ้า” เข้าด้วยกันก่อนแล้วจึงทอออกมาเป็นผืน เรียกว่าผ้า “High Twisted” หรือผ้าที่มีคำว่า “Ply” ต่อหลัง ผ้า Crispaire นี้เป็น 2-Ply หากพันทบกันมากกว่านั้นก็จะเป็น 3-Ply หรือ 4-Ply ไปครับ
ความเท่ของการพันเส้นใยผ้าเข้าด้วยกันแล้วทอคือ มันจะยับยากขึ้นและระบายอากาศได้ดีมากครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผ้าที่ไม่ใช่ High Twisted จะยับง่ายกว่า อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการทอของแต่ละโรงทอผ้าเช่นกัน โดยผ้า Crispaire จะทอแบบ “Plain Weave” แต่โดยทั่วไปเมื่อเป็นผ้า High Twisted ก็จะได้คุณสมบัติดังกล่าวตามมาด้วย 
IMG_8401 copy_label.jpg
ผ้า High Twisted คืออะไร? 
ท่านผู้อ่านลองนึกภาพเชือกเส้นเดียวเทียบกับเชือกสองเส้นที่ม้วนพันกันตามแนวยาวกันดูนะครับ (เชือกพันกันลักษณะคล้ายๆกับท่าตอนเราจะบิดผ้าให้หมาด) หมายความว่า ด้ายเส้นหนึ่งที่จะเอาไปใช้ทอผ้าจะมีเส้น Wool ที่พันกันอยู่ตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไปแทนที่จะเป็นเส้นเดียว คุณสมบัติของผ้า 2-Ply  คือเมื่อขนาดเส้นใยของ Wool มีความหนาและขนาดที่มากขึ้นจากการนำเส้นใยผ้าตั้งแต่สองเส้นมาม้วนกันไว้แล้วจึงค่อยทอ เวลาทอผ้าออกมาทั้งผืนทำให้ระยะห่างระหว่างเส้นใยผ้าจะไม่ชิดแน่นกันมากเท่ากับผ้า Wool ปกติ จึงมีช่องระหว่างเส้นใยนี้ที่มากขึ้น เกิดเป็นความโปร่งของเนื้อผ้าที่อากาศถ่ายเทได้ดี 

เช่นเดียวกันครับ ลองจับเชือกเส้นเดียวกับเชือกสองเส้นที่พันกันอยู่มางอ เชือกที่พันกันอยู่สองเส้นจะงอได้ยากกว่า และสังเกตว่าจะมีแรงที่พยายามจะเด้งกลับสู่สภาพเดิมมากกว่า จึงทำให้ผ้า High Twisted ทนทานต่อการยับมากขึ้น และนอกจากนั้นด้วยความเด้งของผ้า High Twisted จึงทำให้การทิ้งตัวของผ้าหรือ Drape เกิดขึ้นได้อย่างสวยงาม
รูปมุมด้านข้าง จะเห็นว่ากางเกงสามารถ Drape หรือทิ้งตัวลงมาได้สวยงามมากๆครับ

รูปมุมด้านข้าง จะเห็นว่ากางเกงสามารถ Drape หรือทิ้งตัวลงมาได้สวยงามมากๆครับ

ด้วยการพันกันของเส้นใยลักษณะนี้ จึงเกิดเป็น Texture ของผ้า ที่ไม่ได้ดูเรียบเนียนและไม่เงาวิบวับเมื่อโดนแสง แต่จะเกิดเป็นความ “Dry” หรือกรอบและเด้งเมื่อสัมผัสกับเนื้อผ้า สำหรับผมคือจับแล้วรู้สึกแข็งกว่าและรู้สึกถึงเส้นใยผ้าเลยครับเวลาลูบ ความเงาของผ้ายังมีอยู่แน่นอนครับตามธรรมชาติของผ้า Wool แต่จะเป็นความเงาที่อยู่กลางๆค่อนไปทางด้านนิดหน่อย นี่แหละครับคือผ้าที่ “อร่อย” แบบที่ผมได้กล่าวไว้ตอนแรก ซึ่งนิยามที่ผมมโนขึ้นมาเองว่าเป็นผ้าอร่อยเนี่ยมันเอาไปใส่ง่ายมากครับ จะใส่กับเสื้อเชิ้ตปกติก็สวย จะใส่คู้กับ Sport Jacket ก็ไปได้หลากหลาย หรือจะใช้ผ้า Crispaire ตัดเป็นสูทก็ยังได้ และจะเป็นสูทที่สวยมากตัวหนึ่งเลยครับ
Close-Up เนื้อผ้า Crispaire และงานดำน้ำมือของกางเกง Bespoke จาก The Primary Haus

Close-Up เนื้อผ้า Crispaire และงานดำน้ำมือของกางเกง Bespoke จาก The Primary Haus

มาถึงกันเรื่องสีที่ผมคิดว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผ้า Crispaire ทำได้ดีมาก คือผ้าแต่ละสีของเค้าเป็นสีที่ “ลงตัว” คือสีสด เข้ม และลึก ส่วนโทนสีถึงแม้จะมีให้เลือกไม่เยอะแต่สำหรับผมคือมันสวยเกือบทุกสีทั้งเล่มผ้าเลยครับ อย่างเช่นสีเทา เค้ามีการไล่เฉดจาก Charcoal หรือ Dark Grey, Solid Grey และ Light Grey ได้แบบพอดิบพอดีมากๆ ไม่ต้องมานั่งเทียบสีให้ปวดหัวว่าเทานี้เข้มไปหรืออ่อนเกินไปมั้ย Crispaire สีน้ำตาลก็เป็นเฉดที่ผมให้เป็นหนึ่งใน Dark Brown ที่สวยที่สุด คือเปิดเล่มผ้า Holland & Sheery Crispaire มาดู ยังไงก็จบแน่นอนครับ
Total Look กางเกงผ้า Holland & Sherry Crispaire สีน้ำตาลเข้มโดย Ambrosi Napoli

Total Look กางเกงผ้า Holland & Sherry Crispaire สีน้ำตาลเข้มโดย Ambrosi Napoli

ความรู้สึกขณะใส่จริง ถึงตัวผ้าจะดู Dry แต่ใส่จริงๆแล้วไม่คันเลยครับ ไม่เหมือนผ้า Fox Brothers ในไลน์ Fox Air ที่เค้าไปสุดทางสายนี้ คือ ค่อนไปทาง Dry ทำให้บางท่านที่ชอบผ้าลื่นๆเนียนๆอาจจะรู้สึกว่าใส่แล้วคันหรือรู้สึกว่าผ้ามันไปเกี่ยวขนตามขาได้ ตัวผ้าระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ไม่ร้อนไม่อับเลยครับ น้ำหนักตัวผ้าเองอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนไปทางกลางถึงสูง( 280-310 grams) แต่ในจริงๆไม่รู้สึกหนักเลยครับ เพราะได้ Texture ความนุ่มลื่นของผ้ามาช่วย
ในเรื่องของการยับ หากใส่ตั้งแต่เช้า ตอนช่วงเย็นจะเริ่มมีรอยยับให้เห็นบ้างนะครับถ้านั่งเยอะ รอยยับจะเกิดขึ้นบริเวณช่วงต้นขาและด้านหลังหัวเข่าตามท่าทางการนั่ง แต่กลับมาถอดทิ้งไว้สักพักรอยยับก็จะหายไปเองครับ หากไม่หายเอามาสตีมไอน้ำรอบเดียว พ่นไอน้ำห่างๆแบบไม่ต้องรีดนะครับ รอยยับจะเด้งออกหายหมดเกลี้ยงเลย 
Total Look แจ็คเก็ต Orazio Luciano ผ้า Wool-Silk ใส่กับกางเกง The Primary Haus Bespoke ผ้า Holland & Sherry Crispaire

Total Look แจ็คเก็ต Orazio Luciano ผ้า Wool-Silk ใส่กับกางเกง The Primary Haus Bespoke ผ้า Holland & Sherry Crispaire

ผ้า Crispaire เป็นผ้าที่ทนใช้ได้เลยนะครับ เพราะตั้งแต่ใส่มายังไม่เจอรอยผ้าลุ่ยหรือรอยผ้าโดนตำออกมาเป็นรูเลย ดังนั้นสบายใจหายห่วงครับ
ก็จบกันไปสำหรับผ้า Holland & Sherry ที่เป็นโรงทอเก่าแก่จาก Saville Row ประเทศอังกฤษที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1836 หรือ 180 กว่าปี เป็นผ้าที่เหมาะสมและใช้ได้กับทุกๆโอกาสจริงๆครับขึ้นอยู่กับแค่โทนสีที่เราเลือกมา แต่หากถูกใจแล้วยังลังเล ผมแนะนำประโยคเดียวเลยครับว่า “ซื้อๆไปเถอะ แม่งโครตดี”
สำหรับท่านที่ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้แต่ชอบผ้า High Twisted ผมมีตัวเลือกอีกหลายเจ้าที่น่าสนใจ ดังนี้ครับ
  • ผ้า Fresco โดย Huddersfield ใน Bunch ชื่อ Fresco III
  • ผ้า Finmeresco 4/ 3-Ply โดย Smith Woollens ใน Bunch ชื่อ Finmeresco
  • ผ้า Ascot 4-Ply โดย Drapers ใน Bunch ชื่อ Ascot
  • ผ้า Fox Air โดยน Fox Brothers ใน Bunch ชื่อ Fox Air
Previous
Previous

Seersucker Jacket - หนึ่งในผ้าที่ใส่สบายที่สุดสำหรับอากาศร้อนนรกของประเทศไทย

Next
Next

Irish Linen: ผ้าลินินที่ “เซ็กซี่ที่สุดในโลก” จากประเทศไอร์แลนด์